วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เรื่องของจิต สมาธิ ปัญญา
...เรื่องของจิต... จิตแบ่งออกเป็น2จิด ป.ล.ตรงนี้พูดถึงจิตมนุษย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้นะครับ หากว่าจิตพระอรหันต์นั้น มี1เดียวไม่มี2 ก็คือจิตหลุดพ้นนั่นเอง 1.จิตแท้ตั้งแต่ดั้งเดิมเกิดกายคือ จิตภายใน มีความใสสะอาดหมดจดมาแต่เดิมแล้ว แต่ถูกครอบงำด้วยจิตเทียม อันประกอบด้วยกิเลศทั้งมวลซึ่งมีอยู่ในร่างกายนี้จิตนี้ประกอบด้วย จิต(สมาธิ) สติ(ความคิดเริ่ม)ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตละเอียด) หรือจิตพระอรหันต์ 2.จิตเทียมจิตภายนอกที่ปกคลุม จิตแท้อีกทีหนึง คือจิตที่ ร่างกาย หรือสมองนี้ สร้างขึ้นมา เพื่อครอบงำจิตแท้ ที่อยู่ภายใน ไม่ให้ประท้วงออกมาประกอบด้วย จิต(สมาธิ) สติ(ความคิดเริ่ม) ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตหยาบ) หรือจิตมนุษย์ ซึ่งส่วนนี้จะฝังตัวอยู่ในมันสมองของเรา และพัฒนามาเรื่อยๆตั้งแต่เกิด...ดังนั้น เวลาเราเข้าสมาธิ จงสังเกตุ ว่าตอนนี้ ขณะที่เราเข้าสมาธินั้น เราอยู่ในอารมณ์ ของจิตไหน ละเอียดหรือหยาบ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าอารมณ์นั้นอยู่ในจิตไหนแท้หรือเทียม......โดย...ใช้วิธีของผมนะครับ การจะเข้าสมาธิ ขึ้นสู่ฌาณและตามด้วยญาณ ไม่ยากเลยไม่ถึง10วินาทีสงบเลย ถ้าเราสามารถแยกหรือดูจิตตรงนี้ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหนผมลองมาแล้วได้ผลเข้าสมาธิ เกิดปัญญา มีความคิดดีดีได้เร็วมากครับ จะให้นิ่งสงบก็นิ่งสงบ จะใช้ปัญญาก็ไหลลื่น ไม่ตกลงทางต่ำ หากหลงไปทางต่ำก็ลืมตากำหนดใหม่อย่างเดิมอีกครั้งก็เข้าที่แป๊บเดียว...วิธีการก็คือ......เราหาที่นั่งให้พอเหมาะพอดีนั่งตัวตรงช่วงขณะที่เราเอามือมาประสานกันนั้นให้หายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับรวบรวมกำลังจิตแห่งสมาธิ(ด้วยความตั้งมั่นและตั้งใจอย่างที่สุด)มาไว้ที่บนฝ่ามือดันพลังจิตบนฝ่ามือให้ความรู้สึกว่าได้ดันจิตแห่งสมาธิขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงตรงกลางกระหม่อม(กลางศรีษะ)เหมือนเราชักธงสู่ยอดเสายังไงยังงั้นเลยแล้วให้จิตนั้นนิ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อมสักครู่ตอนนี้ก็หายใจเรื่อยๆปกติอย่าเร่งนะครับให้รู้สึกว่าจิตแห่งสมาธิเรานั้นอยู่ตรงกลางกระหม่อม คลายความเครียดทั้งมวล ปล่อยให้จิตสงบ และปล่อยวางทุกสิ่งไป ไม่ยึดไม่คิดถึงใครทั้งนั้นถึงตรงนี้ท่านใดจะนิ่งนานแค่ไหน แล้วแต่ละคน ถึงตรงนี้ความคิดทั้งมวลหยุดหมดคล้ายๆตัวสติยืนจ้องมองจิตอยู่เฉยๆ ส่วนจะปล่อยนานหรือเร็วตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวบุคคลตรงนี้จะได้สุขจากสมาธิและตัวสติหล่ะครับ ผมเปรียบเทียบตัวสติของจิตก็คือคือคิดหัวข้อของความคิดว่าจะคิดเรื่องอะไร พอสติได้หัวข้อของความคิดแล้ว พอเริ่มคิด ก็จะเกิดปัญญา ปัญญาที่นี้หมายถึง อารมณ์ของปัญญาก็ได้ แต่อารมณ์ที่เกิดจากปัญญานี้ออกมาจากจิตเดิมแท้ของเราที่ได้ตั้งมั่นเอาไว้แล้ว(สมาธิ) เรื่องต่างๆที่สติเริ่มคิดก็จะกลายเป็นปัญญาหรืออารมณ์ ของจิตแท้ ก็จะคิดประมวลอารมณ์ต่างๆ ไปในทางที่ดี ทางปิติ ไม่ลงในทางต่ำไม่ฟุ้งซ่านถึงตรงนี้ เราจะได้ครบ สติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี) สมาธิ(จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว) ปัญญา(อารมณ์ของปัญญาที่ดี) เราก็ตั้งมั่นไว้ปล่อยให้สติ(ความคิด)กับปัญญา(อารมณ์)ทำงานไปในทางที่ดีตลอดเวลา ปิติ ปิติ ตอนนี้จงรู้เถิดว่าเราอยู่ในจิตแท้แล้ว แทบจะไม่มีร่างกายนี้เลย นอกจากตอนเราใช้ปัญญาคืออารมณ์พิจารณาสังขารเท่านั้นจึงจะเห็นว่ามันปวดนะ มันชานะ มันทรมานนะ มันร้อนนะ คือสติจะมารับรู้ แต่สมาธิเราก็ต้องมั่นคงอยู่อย่างนั้นไว้ ถึงจะเจ็บปวดก็ตามทีเดี๋ยวพอเรากลับไปหาสมาธิมันก็หายไม่รู้สึกสับเปลี่ยนไปมาอย่างนี้กับตัวสติที่ดีบางครั้งเราก็ปล่อยวาง ให้เหลือแต่สมาธิตรงกลางกระหม่อม อย่างเดียว แช่อิ่มไว้ ตรงนี้เป็นสุขครับแต่อย่าไปยึดติดมากครับ ซักพักเราก็มาใช้ สติ ปัญญา อีก พิจารณา สังขาร หรืออะไรก็ได้ ไปทางที่ดีมีประโยชน์ ตรงนี้แปลกมากปัญญาตัวนี้มันไปของมันเอง เราไม่ได้บังคับให้คิดแต่มันไปของมันเองครับ ถึงตอนนี้ร่างกายแทบไม่รู้ว่ายังมีร่างกายนี้เลยครับ เหมือนมันหายไปเลย ไม่เจ็บไม่ปวดแต่พอคลายสมาธิขาชาเลยลุกไม่ขึ้น...ตรงกันข้าม หากเราทำตามขั้นตอนแล้ว สติกับจิตของเรา ฟุ้งซ่าน คิดไปในทางที่เลว ทางต่ำ คิดถึงคนนั้นคนนี้ ไม่นิ่ง ปวดเนื้อปวดตัว ตัวจะหนักๆตรงนี้เราจะรู้ได้ว่า สมาธิเราไม่ตั้งมั่น ไม่ได้อยู่ตรงกลางกระหม่อมแล้ว มันกระจัดกระจาย ไปทั่วตอนนี้เราจงรู้เถิดว่าเรากำลังเข้าไปใช้ สติหรือความคิดเริ่มต้น ของจิตมนุษย์ที่หยาบที่อยู่ในสมองในร่างกายเมื่อเราเข้าไปใช้สติหยาบที่อยู่ในสมองแล้ว สติหยาบย่อมสั่งงานไปที่ จิตหยาบ จิตหยาบนั้นฝังเต็มไปด้วย กิเลศ แม้จิตแท้จะเข้าไปช่วยดึงเท่าไรก็ไม่อาจฝืนสู้จิตหยาบได้เราจะคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีไปตลอดโดยมีความคิดดีๆเข้ามาต่อสู้ขัดแย้งบ้างแต่ก็พ่ายแพ้ไปเพราะสมาธิเราตกไม่อาจเข้าถึงจิตแท้ได้ ถึงตอนนี้เราจงตั้งหลักใหม่(เริ่มชาร์ตไฟใหม่)เราจงหายใจยาวเข้าไปในปอดจนเต็มที่พร้อมกันกับดันสมาธิอันแรงกล้าจากฝ่ามือเราดันขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงกลางกระหม่อมแล้วให้สมาธิรวมเป็นหนึ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าอยู่ตรงนั้น ปล่อยวางทุกอย่างสบายๆ ไม่คิด ไม่ฝัน ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น มีแต่ความตั้งมั่น ที่จะเอาชนะ กิเลศอย่างเดียวเท่านั้น ตรงนี้เราจะตั้งมั่นอยู่กับสมาธิอย่างเดียวนานแค่ไหนแล้วแต่ละบุคคลที่จะกระทำตรงนี้จะได้สุขจากสมาธิ จะนานช้าอยู่ที่บุคคล สักครู่ก็ปล่อยให้สติ ตัวดี ที่เกิดจากจิตสมาธิตั้งมั่นทำงาน สติตัวดีก็จะคิดเป็นปัญญาคือเกิดอารมณ์ที่ดีแห่งปัญญา พิจารณาสังขาร สิ่งต่างๆไปในทางที่ดีตลอดเวลาไม่ตกมาที่จิตหยาบแห่งเนื้อสมองที่มีแต่กิเลศ ตรงนี้ถ้าเราดำรงรักษาจิตนี้ได้ตลอด ไม่เผลอ เท่ากับเราได้เข้าถึงจิตแท้แล้วเมื่อไหร่ที่เราออกจากสมาธิ เราจะรู้สึกโล่งสบายมีความปิติ เพื่อนๆครับ สมาธิถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะเข้าสมาธิได้รวดเร็วมากครับ นับ123บางทีนิ่งสงบเลย ลองดูนะครับ จริงๆความคิดผมมันละเอียดกว่านี้แต่ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายได้ดีกว่านี้ เพราะเรื่องนี้บางทีรู้แต่ไม่รู้จะบอกยังไงดี ได้แค่นี้นะครับ ขอให้ทุกท่าน ถึงฝั่งแห่ง นิพพานเถิด สาธุๆๆ... ...สรุป... 1สมาธิ(จิตตั้งมั่นมีกำลัง)เปรียบเสมือนพลังงานเชื้อเพลิงน้ำมัน เหมือนพลังงานที่อยู่ในแบตเตอรี่ มีมากเท่าใดสมาธิก็แน่นเท่านั้น ต้องเก็บให้รวมอยู่อย่างนั้นการจะมีสติที่ดีเยี่ยม ก็ต้องมาจากสมาธิที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลัง เหมือนถ่านไฟฉายหากพลังงานอ่อน(สมาธิ) ไฟ(สติ)ก็ไม่สว่าง ไฟไม่สว่างก็มองไม่เห็นทาง(ปัญญา)ก็คือไม่เห็นทางแห่งปัญญาไม่มีปัญญาหรือปัญญาน้อยไป แล้วจะเห็นอารมณ์แห่งนิพพานที่ต่อเนื่องมาจากปัญญาได้อย่างไร 2สติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี) เปรียบเสมือนเรดาร์รอบๆสมาธิ คอยดูแล พลังงาน รอบๆสมาธิ คอยปกปักรักษาสมาธิ คอยชี้นำทาง บางครั้งก็ดึงความรู้ของสมาธิก็คือจิตมาใช้ประโยชน์ สติเริ่มต้นคิดในทางดี อะไรๆ ที่ตามมาก็ไปในทางดี ก็จะเกิดปัญญาดี อารมณ์ดี ส่งผลให้การเจาะเอาปัญญาจากจิตแท้ก็ง่ายขึ้นหรือได้เลยในทันที เป็นปัญญาละเอียดของจิตเดิมแท้ ส่งผลให้จิตแท้มีกำลังมหัศจรรย์ เหนือการควบคุมของจิตเทียมที่อยู่ในมันสมองและร่างกาย 3ปัญญา(อารมณ์ของความคิด(สติ)) ปัญญาตรงนี้ก็ได้จากจิตเดิมแท้ จากสมาธิที่เราตั้งมั่นจนกลายเป็นกำลังที่จะสามารถเจาะเข้าถึงจิตแท้อันละเอียดจนเกิดปัญญาอันบริสุทธิ์นั่นเอง คนละอย่างจากปัญญาที่เกิดจากมันสมองการเรียนรู้ของมนุษย์ ตรงนี้เค้าเรียกปัญญาอย่างหยาบคงจะได้ความรู้ไม่มากก็น้อย ผมไม่ได้ที่จะอวดรู้หรือจะสอนใครครับ แต่ตรงนี้เกิดจากการเรียนรู้เลยอยากจะกล่าวให้ทุกท่านทราบหากจะมีประโยชน์บ้าง ก็จงส่งเป็นผลอันได้แก่ฝั่งพระนิพพานเถิด......โอ ระยอง ...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แค่คิดว่าอยากเป็นคนดี ก็ใช้ได้แล้วเพื่อน
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น