เมื่อเกิดมามีเนื้อหนังมังสานั้นใจรับอารมณ์เป็นใหญ่คอยบงการเรื่องต่างๆคงอยู่อย่างนั้นมาแต่รากเดิม จิตแท้นั้นไม่ใช่ของใครเป็นอาการหนึ่งของใจ คือโดนใจนั้นครอบครองอยู่ใจนั้นจะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีร่างกายเมื่อมีร่างกาย ใจนั้นจึงรับอารมณ์ต่างๆ จึงเกิดจิตเพื่อแยกดีเลวความกลัวความกล้า จิตคืออาการตอบสนองของใจอย่างหนึ่ง เมื่อจิตมีอาการรับรู้แล้ว ก็จะเกิดการแยกอารมณ์ ดีเลว ต่างๆนาๆ ถ้าขาดสติก็จะแสดงอารมณ์ออกมาตามจิตนั้นสั่ง ตรงนี้ถ้ามีสติ มากรองอารมณ์ก่อนที่จะแสดงอะไรๆออกไป คอยแบ่งแยกคอยคัด คอยยับยั้งชั่งใจว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี ก็จะทำให้เกิด ปัญญา คืออารมณ์ตัวหนึ่ง ที่สตินั้นได้กรองมาแล้ว ว่าดีที่สุด ...ฉนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ข้อสุดท้ายก่อนพระนิพพาน ว่า ขอทุกคนอย่าได้ประมาทเลย นั้นพระธรรม 84000พระธรรมขันธ์ก็มารวม อยู่ในข้อสุดท้ายข้อเดียวเลยในบทสรุป คำว่าอย่าประมาท แปลแล้วก็คือ ความมีสติ รอบรู้สิ่งต่างๆ พาเราไปในทางที่ชอบที่ควร เมื่อใดขาดสติ เกิดความประมาท คือหนทางแห่งความตายและหายนะ (มีสติไม่ประมาท ไม่ประมาทจึงมีสติ)ผมจะเรียงจิตใจให้ดูครับ ใจนั้นเป็นใหญ่มาแต่เดิม จิตนั้นเป็นรองใจ อารมณ์นั้นเป็นรองจิต มีสติคอยดูแลอารมณ์และจิต คอยส่งเป็นปัญญาโง่ฉลาดกลับไปที่จิต ปั้นกลับมาเป็นอารมณ์อีกครั้งหนึ่ง วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ หากหมดจิตหมดอารมณ์ เหลือแต่สติกับใจแล้วหล่ะก็ นั่นคือความสงบ ที่พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบคือถึงที่สุดแล้ว สาธุ
จิตแท้จริงนั้นไม่ใช่เราเลย เพียงแต่ว่า จิตนั้น โดนใจคืออารมณ์เข้าครอบครอง เรียกว่ามีวิญญาณครองจิตก็ได้ หากเมื่อใดไม่มีวิญญาณ แล้ว เมื่อนั้น จิต ก็จะเป็นอิสระ จากทุกสิ่ง ก็เข้าถึงคำว่าพ้นโลก
เป็น บรมสุข
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แค่คิดว่าอยากเป็นคนดี ก็ใช้ได้แล้วเพื่อน
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น