วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เวทนาไม่ควรยึดถือว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เวทนา แปลว่า ความรู้สึกอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุข
1.เห็นว่าเวทนาเป็น อัตตา เป็นตัวเป็นตน ของเรา คือเห็นว่าความรู้สึกอารมณ์ เป็นอัตตา
2.เห็นเวทนาเป็น อนัตตา หรือไม่ใช่อัตตา คือเห็นว่าความไม่รู้สึกอารมณ์ เป็นอัตตา
3.เห็นเวทนา เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา คือเห็นความรู้สึกอารมณ์ เป็นอารมณ์ไม่รู้สึกสุข ก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์รู้สึกสุข ก็ไม่ใช่ อัตตาของๆเราย่อมเสวยอารมณ์ อัตตาเรามีเวทนาเป็นธรรมดาทั้งสามข้อนี้พระพุทธองค์ ทรงไม่ให้ยึดถืออะไรเกี่ยวกับเวทนาทั้งหมดในโลกนี้แบบนี้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อไม่ยึดถือก็ไม่ต้องสะดุ้งดิ้นรน เมื่อไม่ต้องสะดุ้งริ้นรน ก็ดับสนิท เฉพาะตน รู้ว่าสิ้นชาติแล้ว ได้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำหน้าที่เสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ๆ ไม่มีอีก เรียกว่าได้หลุดพ้นแล้ว จากเวทนา ทั้งหลายทั้งปวง สิ้นแล้ว
....ธรรมบท.....
ข้าพเจ้าพระอานนท์ได้สดับว่า...พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้คือ...ผู้ไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้สิ่งทั้งปวง ไม่ทำจิตให้คลายกำหนัด ในสิ่งนั้น ไม่ละสิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็ไม่ควรจะสิ้นทุกข์ อยู่ในพระไตรปิฏก ว่าด้วยพระสูตร...เอกนิบาต ชุมนุมธรรมที่มี1ข้อ
ความคิดเห็นเรื่องเวทนาเกี่ยวกับอัตตา
เมื่อพระพุทธองค์ท่านแสดงเหตุผลให้เห็นจริงทั้งสามข้อว่า ไม่ควรยึดถืออย่างนั้น ในที่สุดตรัสสรุปว่าภิกษุผู้ไม่เห็นทั้งสามอย่างนั้น ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลก เมื่อไม่ยึดถือก็ไม่สะดุ้งดิ้นรน เมื่อไม่สะดุ้งดิ้นรนก็ดับสนิทเฉพาะตน รู้ว่าสิ้นชาติแล้ว ได้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้ว เช่นนี้ ไม่ควรที่ใครๆจะกล่าวว่า ท่านมีความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วเกิด สัตว์ตายแล้วไม่เกิดสัตว์ตายแล้วทั้งเกิดและไม่เกิด และสัตว์ตายแล้วเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ข้อนั้นเพราะเหตุใด!!!
เพราะวัฏฏะ ย่อมหมุนเวียนไปตราบเท่าที่ยังมี ทางแห่งคำเรียกชื่อ มีทางแห่งคำพูดจา มีบัญญัติมีทางแห่งการบัญญัติ มีการนัดกันรู้ มีการรู้ได้ด้วยปัญญา และยังมีการหมุนเวียนอยู่ ภิกษุผู้หลุดพ้นเพราะรู้ความจริงนั้น ไม่ควรที่ใครๆจะมีความเห็นว่า ท่านไม่รู้ไม่เห็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แค่คิดว่าอยากเป็นคนดี ก็ใช้ได้แล้วเพื่อน

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น