วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลังกาวตารสูตร แปลโดย "พุทธทาสภิกขุ"

ลังกาวตารสูตรแปลโดย "พุทธทาสภิกขุ"
ลังกาวตารสูตร เป็นคัมภีร์หลัก (text)ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นคัมภีร์หนึ่งในเก้าคัมภีร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่เรียกว่าสูตรสูตรหนึ่งนั้นมิใช่สั้นๆ เช่นที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นหนังสือขนาดใหญ่ หรือคัมภีร์หนึ่งนั่นเองลังกาวตารสูตร พิมพ์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตเมื่อ ค.ศ. ๑๙๒๒ โดยท่าน Bunyin Nangio, M.A. (Oxon) D. Litt. Kyoto.สูตรนี้แปลเป็นภาษาจีนครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. ๔๔๓ โดยท่านคุณภัทระแห่งอินเดียและครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ. ๕๑๓ โดย ท่าน โพธิ รุจิ แห่งอินเดีย และครั้งที่สามเมื่อ ค.ศ. ๗๐๐ โดยท่านศึกษานันทะ แห่งอินเดียเหมือนกัน เป็นสูตรว่าด้วยศีลธรรมล้วนภาคที่แปดแห่งลังกาวตารสูตรนี้กล่าวถึงเรื่องการกินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะ เรียกว่า ภาคมางสภักษนปริวรรตจากข้อความในภาคนี้ ย่อมเป็นการพิสูจน์ไว้อย่างเต็มที่ว่าสาวกในพระพุทธศาสนา จะเป็นบรรพชิต หรือฆราวาสก็ตาม จะไม่รับประทานเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเลยต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอนซึ่งตัดตอนมาจากข้อความในภาคนั้น โดยเห็นว่าพวกเรา แม้เป็นฝ่ายเถรวาท(หินยาน) ก็ควรได้อ่านฟังกันไว้บ้าง เป็นการประกอบการศึกษาธรรมเรื่องนี้ด้วยใจเป็นอันอิสระข้อความในพระสูตรนั้น มีดังนี้ :
------------------------------------------------------------
"พระตถาคตเจ้าผู้องค์อรหันต์ได้ตรัสรู้อย่างถูกถ้วนแล้ว, และได้ตรัสความเป็นกุศล หรืออกุศลแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา,เพื่อว่าเราและสาวกอื่นๆ ในพระพุทธศาสนา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้แก่เขาเหล่าโน้นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการทำลายความอยากเสพ ในเนื้อสัตว์ของเขานั้นๆ เสีย""พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า: โอ, มหาบัณฑิต!ด้วยน้ำหนักแห่งเหตุผล อันมากมายเหลือจะประมาณ บ่งแสดงว่าเนื้อทุกชนิด เป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธโดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้มีใจเปี่ยมอยู่ด้วยความกรุณา สำหรับเขาเหล่านั้นเราจักกล่าวแต่โดยย่อๆโอ, มหาบัณฑิต! ในวัฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการว่ายเวียนในการเกิดอีกตายอีก, ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็นแม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กันสัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวาง หรือสัตว์สองเท้าสัตว์สี่เท้าอื่นๆเป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะทำลงไปได้อย่างไรหนอ, จะเป็นผู้สำเร็จแล้ว หรือยังเป็นสาวกธรรมดาอยู่ก็ตามผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด, เป็นภราดรของตน, แล้วจะเชือดเถือเนื้อหนังของมันอีกหรือ?โอ, มหาบัณฑิต! เนื้อสุนัข เนื้อลา อูฐ ม้า โคและเนื้อมนุษย์ เหล่านี้เป็นเนื้อที่ประชาชนไม่รับประทาน แม้กระนั้นเนื้อของสัตว์เหล่านี้ก็ถูกนำมาปลอมขายในนามของเนื้อแกะฯ ภายในเมืองเพราะเห็นแก่เงิน เพราะเหตุนี้ เนื้อสัตว์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรกินโดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนาโอ, มหาบัณฑิต! เพราะว่าเนื้อย่อมเกิดจากเลือดและน้ำอสุจิ, เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งไม่ควรบริโภค สำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนาผู้ประสงค์ต่อความสะอาดบริสุทธิ์ (หลุดพ้นทุกข์ทางจิตใจ) และเพราะมันเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในระหว่างกันและกัน โอ, มหาบัณฑิต! เพราะฉะนั้นเนื้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค โดยบรรพชิตแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์มิตรภาพในเพื่อนสัตว์ด้วยกันทุกถ้วนหน้า ตัวอย่างอันประจักษ์เช่น เมื่อสัตว์ได้เห็นนายพรานป่า ชาวประมงหรือนักกินเนื้ออื่นๆเดินมาแม้ในระยะอันไกล สัตว์ทั้งหลายก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว บางครั้งหรือสัตว์บางชนิดขาดใจตายทำนองเดียวกัน สัตว์ตัวน้อยๆ อื่นๆ ในท้องฟ้า บนบกหรือในน้ำก็ตาม เมื่อได้เห็นนักกินเนื้อแต่ที่ไกลหรือได้กลิ่นด้วยจมูกอันไวของมัน ก็จะพากันวิ่งหนีไปไกล พร้อมกับความรู้สึกอยู่ในใจว่าเขาเหล่านั้น เป็นผียักษ์อสุรกายผู้ล้างผลาญ นั่นเพราะความกลัวต่อความตายของมันเนื้อเป็นสิ่งที่ควรกินสำหรับผู้ใจดำอำมหิตเป็นสิ่งที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ เป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสียและเป็นสิ่งที่จะถูกห้ามกัน โดยท่านสัตบุรุษ
โอ, มหาบัณฑิต!เนื้อนี้เป็นของไม่ควรบริโภค โดยพุทธสาวกโอ, มหาบัณฑิต! สัตบุรุษย่อมบริโภคเฉพาะแต่อาหารที่สมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ยอมบริโภคเนื้อและเลือด เพราะฉะนั้นควรที่สาวก แห่งพระพุทธศาสนา จะต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลยพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเยือกเย็นไปด้วยพระกรุณามีพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วย ความเป็นที่พึ่ง ที่ป้องกันภัย แก่ดวงใจของปวงสัตว์และมีพระสัมปชัญญะสมบูรณ์พอ ที่จะไม่ปล่อยให้เป็นโอกาสสำหรับความเสื่อมเสียระบาดขึ้นได้เลยนั้นย่อมจะทรงบัญญัติเนื้อสัตว์ว่า เป็นสิ่งไม่ควรบริโภคโอ, มหาบัณฑิต! ในโลกนี้มีคนเป็นอันมากซึ่งกล่าวคำเท็จเทียม ต่อพระพุทธดำรัสฯ ให้ผิดไปจากความจริง เขากล่าวกันว่าบรรดาผู้ซึ่งคัดค้านอาหารอันสมควร แด่ท่านผู้บริสุทธิ์ แห่งสมัยเพรงกาลย่อมกินอาหารเหมือนนักกินเนื้อ ย่อมเที่ยวใส่ความทุกข์ เจ็บปวดให้แก่สัตว์น้อยๆที่มีชีวิตอยู่ในอากาศ บนบก และในน้ำ เที่ยวรบกวนรังควานมัน ทั้งที่นี่และที่นั่นอยู่เสมอสมณภาพของเขา ถูกทำลายเสียย่อยยับแล้ว พรหมณ์ภาพของเขา ถูกทำให้เศร้าหมองเสียแล้วเขามิได้ประกอบด้วย ศรัทธาและสมาจาร คนชนิดนี้แหละ ที่กล่าวคำเท็จเทียม มากมายหลายชนิดแด่พระพุทธวจนะโอ, มหาบัณฑิต! มีกลิ่นที่น่ารังเกียจไม่น่าบริโภคอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกับกลิ่นแห่งศพ แม้เหตุผลเพียงเท่านี้เนื้อก็เป็นของไม่ควรบริโภค สำหรับพุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าศพถูกเผาและเนื้อสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ถูกเผา มันก็จะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจ ไม่แตกต่างอะไรกันเลยดังนั้น บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ผู้หวังความบริสุทธิ์ จะไม่บริโภคเนื้อใดเลยเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเกียจกันแล้วสำหรับท่านผู้บริสุทธิ์ และสาวกของท่าน ในกรณีที่จะพยายาม เพื่อโมกษะ และความตรัสรู้เพราะฉะนั้น สาวกผู้ดำเนินตามทางอันสูงยิ่งนี้ ทั้งครอบครัวลูกหญิงชายย่อมรู้อยู่อย่างเต็มใจว่า มันเป็นสิ่งที่ถูกเกียจกัน ในทุกๆ กรณีที่พยายามเพื่อสมาธิโอ, มหาบัณฑิต! เพราะฉะนั้น เนื้อทุกๆชนิด เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค สำหรับพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นผู้ที่ปรารถนาจะมีสาธุคุณในทางจิต ทั้งเพื่อตนเอง และผู้อื่นนักกินเนื้อ ย่อมเป็นเหยื่อ แห่งโรคหลายชนิดเช่น โรคไส้เดือน โรคพยาธิ โรคเรื้อน โรคเจ็บในท้อง ฯลฯโอ, มหาบัณฑิต! เรากำลังประกาศว่าการกินเนื้อสัตว์ เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ดั่งนี้ แล้วจะกล่าวไปอย่างไรได้ที่เราจะบัญญัติ ให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับ ของพวกคนใจอำมหิตเป็นของถูกห้ามโดยท่านสัตบุรุษทั่วไป เต็มไปด้วยมลทิน ปราศจากคุณธรรมใดๆไม่เหมาะที่จะบริโภค สำหรับผู้บริสุทธิ์ และเป็นของควรห้ามเด็ดขาด โดยประการทั้งปวง  โอ, มหาบัณฑิต! เราได้บัญญัติไว้แล้วว่าสำหรับอาหารอันสมควร ซึ่งได้กำหนดนิยมกันมาแล้ว โดยบรรดาท่านผู้บริสุทธิ์ แห่งสมัยเพรงกาลได้แก่ อาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าว ลูกเดือย ข้าวสาลี สารแห่งหญ้ามุญชะ อูรทะและมสุร ฯลฯ นมส้มน้ำนม นม น้ำตาลสด กุท (?) น้ำตาล และน้ำตาลกรวด ฯลฯโอ, มหาบัณฑิต! ในกาลก่อนมีพระราชา ครองราชสมบัติ อย่างผาสุกพระองค์หนึ่ง นามว่า ราชาสิงหะเสาทโสต่อมา ได้กลายเป็นผู้ละโมบอย่างแรง ในการบริโภคเนื้อ ในที่สุด ถึงกับใช้เนื้อคนเป็นอาหารเนื่องจาก ความอยากได้ เป็นไปแก่กล้าหนักเข้า เพราะเหตุนั้น พระองค์ถูกถอดออกจากความเป็นพระราชาโดยพระสหาย เสนาบดี และประยูรญาติของพระองค์เอง และคนอื่นๆ ต่อจากนั้นต้องสละราชสมบัติถูกเนรเทศออกไป จากแว่นแคว้นของพระองค์ โดยประชาชน ต้องรับทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวงเนื่องจากเนื้อสัตว์เป็นต้นเหตุโอ, มหาบัณฑิต! ก็ในปัจจุบันชาตินี้เองเขาเหล่านั้น ซึ่งเคยชินเกินไปในการกินเนื้อสัตว์ ในมาตรฐานนี้ เมื่อความอยากเป็นไปรุนแรงเข้าก็กินเนื้อคนได้ (ในยามขาดแคลน) ย่อมเป็นผู้ละโมบในการกิน และเป็นเหมือนยักษ์ปีศาจร้ายครั้นถึงอนาคตชาติหน้า เพราะอำนาจจิต ติดฝังแน่นในการอยากกินเนื้อ เขาย่อมตกไปสู่กำเนิดแห่งสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ สุนัขป่า สุนัขไน แมว สุนัขจิ้งจอกนกเค้า และ ฯลฯโอ, มหาบัณฑิต! มิใช่เพราะ เนื้อจะเป็นของต้องกินหรือการฆ่า เป็นของต้องทำ ก็หามิได้ ในกรณีนั้นๆ ส่วนมากทั้งหมด เป็นเพราะการเห็นแก่เงินจึงฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต ถึงแม้ จะเป็นสัตว์เชื่อง และปราศจากอันตรายแต่อย่างใด ก็ได้ถูกฆ่าการฆ่าเพราะเหตุอื่นนั้นมีน้อยที่สุด มันเป็นการทรมานใจเขามาก ในเมื่อใจเต็มไปด้วยความอยากกินเนื้ออย่างแรงกล้า คนก็กินเนื้อคนได้อยู่เสมอ จะต้องกล่าวไปทำไม กะเนื้อสัตว์เนื้อนก ฯลฯ ส่วนมากที่สุด เนื่องจากความโง่เง่า เข้าใจผิด มนุษย์จึงได้รับกรรมความกระวนกระวายใจ โดยความอยากในเนื้อสัตว์ คนฆ่านก ฆ่าแกะ และปลาโดยใช้ข่ายหรือเครื่องกล การฆ่ามันเหล่านั้น ซึ่งเป็นสัตว์ที่เชื่อง และหาอันตรายมิได้นั่นก็เพื่อหวังจะให้ได้เงินโอ, มหาบัณฑิต! ในกรณีแห่งอาหารที่เราได้บัญญัติแก่สาวกนั้น มิใช่เป็นเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเลย ซึ่งเป็นของควรกินสัตว์ซึ่งเป็นของไม่ควรกิน ไม่เป็นเหตุควรถูกกิน ไม่ใช่สิ่งที่ควรสมมุติว่าควรกินในอนาคตกาล ในหมู่สงฆ์ของเรา จะเกิดมีคนบางคนซึ่งกำลังสมาทานข้อปฏิบัติ แห่งบรรพชิต และกำลังปฏิญาณตนเป็นศากยบุตรกำลังครองผ้ากาสาวพัสตร์สีแดงหม่น จะเป็นผู้มัวเมาและประกอบตนคลุกเคล้าอยู่ ในความเพลิดเพลิน เขาจะมีจิตที่เต็มไปด้วยความปรารถนาลามก บัญญัติข้อปฏิบัติที่ผิดแบบแผนขึ้นใหม่ เขาเหล่านั้นเป็นผู้อยากเสพเพราะติดรส และจะเรียบเรียงพระคัมภีร์ ให้มีข้อความเท็จอันจะเป็นเครื่องยืนยัน และโต้แย้งอย่างพอเพียง สำหรับการกินเนื้อสัตว์กันเขาจะบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ เขาจะกล่าวข้อความ ที่ส่งเสริมการกินเนื้อสัตว์เขาจะกล่าวว่าเรา ตถาคตได้บัญญัติไว้ในเรื่องนี้ เช่นนี้ และว่าเราตถาคตนับมันเข้าไว้ในสิ่งทั้งหลายที่ควรกิน และว่า พระภควันต์ก็ได้ทรงเสวยเนื้อสัตว์โดยพระองค์เอง ต่อท้าย #3 25 ธ.ค. 2553, 6:20:34 แต่ โอ, มหาบัณฑิต!เรามิได้เคยบัญญัติเนื้อสัตว์ไว้ในสูตรใดๆ หรือกล่าวว่ามันเป็นของควรกินหรือนับมันเข้า ในประเภทของดีที่ควรกินโอ, มหาบัณฑิต! อริยสาวกทั้งหลาย ไม่บริโภคแม้แต่สิ่งที่คนธรรมดา ชอบกินนิยมกันว่าดี เขาเหล่านั้นจะมาบริโภคเนื้อและเลือดซึ่งเป็นของควรปฏิเสธได้อย่างไรเล่า? เหล่าสาวกของตถาคต เป็นผู้เดินตามแนวแห่งสัจธรรมคนผู้มีปัญญา เป็นเครื่องคิดค้นของตนเอง และบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายอื่นๆ(แห่งพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ) ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาเหล่านั้นมิใช่ผู้กินเนื้อสัตว์พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนๆ ก็เป็นดังนั้น... พระตถาคตเจ้าทั้งหลายมีสัจธรรมเป็นพระกายของพระองค์ ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยสัจธรรมไม่ทรงดำรงกายด้วยเนื้อสัตว์ ท่านเหล่านั้น ไม่เคยเสวยเนื้อสัตว์อย่างใดๆ เลยพระองค์ ทรงเพิกถอนความอยาก ในโลกียวัตถุได้ทั้งหมดแล้ว ท่านเหล่านั้นปราศจากมลจิตอันเป็นมูลแห่งความทุกข์ ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณอันไม่ข้องขัดในอันจะหยั่งทราบ สิ่งซึ่งเป็นกุศลและอกุศล ทรงทราบสิ่งทั้งปวง เห็นแจ้งสิ่งทั้งปวงพระองค์ ทรงมองไปที่สรรพสัตว์ คล้ายกับเป็นบุตรของพระองค์เองทรงประกอบด้วยมหาเมตตากรุณาคุณ โดยทำนองเดียวกันนี้เราตถาคต เห็นสรรพสัตว์ เช่นเดียวกับบุตรของเราเอง เราจะบัญญัติให้สาวกของเราบริโภคเนื้อลูกของเราได้อย่างไรเล่า? และเราเองก็จะบริโภคมันได้อย่างไรเล่า?มันไม่มีข้อควรสงสัยเลยในเรื่องว่า เราได้บัญญัติให้สาวกบริโภค หรือเราได้บริโภคมัน โดยตนเองหรือไม่(ในที่สุด ได้ตรัสคำที่ผูกเข้าเป็นคาถา ซึ่งจะยกมาในที่นี้แต่บางคาถา มีใจความว่า: )โอ, มหาบัณฑิต! พระชินวรได้ตรัสไว้แล้วว่าสุรา เนื้อ และหอมกระเทียม เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิก หรือมหาพุทธศาสนิกใดๆ ไม่ควรบริโภค (๑)บรรพชิตควรเว้นเสมอ จากเนื้อสัตว์ หัวหอมและนานาประเภท แห่งเครื่องดื่มอันมึนเมา กระเทียม และหัวผักกาด (๕)เขาผู้ฆ่าสัตว์ชนิดใดๆ ก็ตาม เพื่อเงินและเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อเนื้อนั้น ทั้งสองพวกชื่อว่าเป็น ผู้ประกอบอกุศลกรรมและจักจมลงในนรกโรรุวะ และนรก ฯลฯ (๙)เราบัญญัติห้ามเนื้อสัตว์ไว้ในข้อความแห่งคัมภีร์เหล่านี้ คือ ๑. หัสติกักสยะ ๒. มหาเมฆะ ๓. นิรวาณางคลี มาลิกา และ๔. ลังกาวตารสูตร (๑๖)อันเดียวกันกับที่ความถูกผูกพัน เป็นข้าศึกของความหลุดพ้น เป็นอิสรภาพ, เนื้อสัตว์ สุรา และ ฯลฯก็เป็นข้าศึกของนิรวาณ (คือนิพพาน) ฉะนั้น (๒๐)ดั่งนั้น เนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นของดูน่ากลัวแก่สรรพสัตว์และเป็นอุปสรรค แก่การปฏิบัติเพื่อวิมุติ จึงเป็นของไม่ควรกิน นี่คือธงชัยแห่งอารยชน (๒๔)หมายเหตุ ท่านพุทธทาสยังแปลพระสูตรนี้ไม่จบ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------
ที่มา: ลังกาวตารสูตร แปลโดย พุทธทาสภิกขุ,เรียบเรียงโดย ธีระ วงศ์โพธิ์พระ, พิมพ์ครั้งที่ ๖  พระพุทธเจ้าท่านฉันท์ มังสวิรัติ ท่านไม่ฉันท์ เนื้อสัตว์ แต่ท่านก็มิได้ห้ามฉันท์เนื้อสัตว์ เพราะอะไรธรรมนั้นเมื่อฝึกแล้วสิ่งวิเศษจะรู้ได้เฉพาะตน ใครเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ฉันท์เนื้อสัตว์ แต่ก็ทรงมิได้ห้าม ไม่ให้ฉันท์ เนื้อสัตว์ เพราะพระพุทธเจ้าท่านเดินสายกลางท่านรู้ว่ามนุษย์นั้น มีความเห็นแก่ตัว หาทางแก้ตัว เพื่อความสุขของตัวเอง มนุษย์นั้นจึงมีทั้งคนดีและคนเลว ปนกันไป บางครั้งท่านเคยเปรียบมนุษย์นั้นเป็นดั่งบัว4เหล่า บางจำพวกนั้นมิอาจจะสอนได้เลย ต้องปล่อยไปตามกรรม
พระพุทธเจ้า ให้ดำรงศีล5 ข้อที่1 ควรเว้นเสียจากฆ่าสัตว์ เท่านี้ท่านที่มีปัญญาน่าจะรู้ว่า พระพุทธเจ้าท่าน ท่านห้ามฆ่าสัตว์แต่ท่านใช้คำว่าควรเว้น เมื่อไม่ฆ่าสัตว์ แล้วจะเอาเนื้อสัตว์มาจากไหนกันแต่ที่ท่านมิได้ห้ามปรามครั้งพระเทวทัต จะบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะตัวมนุษย์นั้นมันมีสี่เหล่า มีทั้งที่สอนได้และสอนไม่ได้ ท่านให้คิดเอาเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีปัญหามาถกเถียงทะเลาะกันในภายหน้า ท่านนั้นมิห้ามคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ห้ามก็มีปัญหา ไม่ห้ามก็มีปัญหา ให้คิดเอาเอง ถึงสิ่งที่ถูกต้องที่สุด สังเกตุเรื่องอื่นๆพระเทวทัต ขออะไร พระพระพุทธเจ้า ไม่ห้าม หรือห้ามสักอย่าง ท่านให้ความอิสระกับทุกคน คิดเอาเองท่านใช้คำว่า ควรเว้น เสียจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ควรเว้นเสียจากการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เท่านี้ท่านที่มีปัญญาควรรู้ได้ด้วยตนเอง จะให้พระองค์ มาบอกว่าสิ่งนั้นห้าม สิ่งนี้ไม่ห้าม นั้นไม่ได้ เพราะคนมีหลายจำพวก มีมิจฉาทิฐิ และไม่มี ท่านให้คิดเอาเอง ท่านเพียงแต่แนะสิ่งที่ควรเป็นให้เท่านั้น ท่านอยากเป็นบัวเหล่าใดหรือถึงคิดเองไม่ได้จึงต้องให้พระองค์ประกาศเป็นกฎหรือ พระองค์ไม่ทำ เพราะจะเป็นการสร้างกำแพงแบ่งแยกแล้วมาทะเลาะกันซะเปล่าๆ พระองค์ทรงฉลาดและทำถูกต้องแล้ว ปล่อยให้คิดเอาเองไม่ดีกว่าหรือ มีคนใส่บาตร เอาเนื้อสัตว์มาใส่มาให้พระองค์ พระองค์ก็ทรงรับมิได้ว่ากล่าวสิ่งใด พระองค์ทรงใช้ปัญญาในการฉันท์ โดยไม่เบียดเบียนเนื้อสัตว์ทรงฉันท์ในส่วนดีบริจาคในส่วนเลว ช่วงหลังๆก็จะรู้กันเองว่าพระองค์ไม่ฉันท์เนื้อสัตว์ ซึ่งพระองค์มิได้บอกว่าฉันท์หรือไม่ฉันท์เนื้อสัตว์ให้ดูกันเอาเอง ซึ่งพระองค์ก็พร่ำสอน ควรเว้นนะ เสียจากการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นซะ ทำไมไม่ใช้ปัญญาคิดเอาเอง จะต้องให้พระพุทธเจ้าบอกทุกเรื่องหรือ ตาบัวสี่เหล่า ลองคิดดูหากพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าให้กินเนื้อสัตว์ได้ แสดงว่า พระพุทธเจ้านั้นโกหกเรานะซิเพราะศีลข้อ1 ต่อท้าย #5 25 ธ.ค. 2553, 6:21:35 พระองค์เป็นคนบอกเองว่า ให้ควรเว้นเสีย จากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต แล้วพระองค์จะมาบอกให้กินได้นั้นแม้จะเห็นหรือไม่เห็นการฆ่าลองถามใจตัวเองดูก่อนว่าขั้นตอนนั้นก่อนมาเป็นอาหารนั้นเป็นมายังไง จะมาบอกว่าเราไม่รู้เรากินได้ มันจะมายังไงเราไม่สน เรากินได้เราไม่รู้มันมาอย่างไรอาหารนี้ ถามใจตัวเองดูดังๆว่ามันเป็นไปได้หรือที่เราไม่รู้หรือเราแกล้งไม่รู้ซะมากกว่า หาทางแก้ตัวเพื่อจะกินเค้าซะมากกว่า บางคนบอกว่าเอาทุกอย่างรวมกัน แล้วไม่รู้อะไรเป็นอะไร เป็นไปได้หรือ ซักวันมีคนเอาของน่าเกลียดใส่รวมคนไปให้เรากิน ทั้งที่เรารู้จะบอกว่าไม่รู้กินได้เราจะกินได้ไหม หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งชวนอ๊วก อาหารชั้นดีใส่รวมไปใครก็กินได้ไม่เห็นแปลกเลย ลองหยิบของชวนอ๊วกใส่รวมไปด้วยซิจะกินได้ไหม เราแยกออกนี่ว่าอะไรเป็นอะไรใช้ปัญญาคิดดู อย่าเอาแต่พึ่งพระพุทธเจ้า ว่าอันนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าใช้ได้จึงทำอันนี้ใช้ไม่ได้จึงไม่ทำบางอย่างคิดเอาเองบ้างลองคิดถึงชีวิตเราซิเรารักชีวิตหรือเปล่าเรากลัวไหมหากมีคนถืออาวุธจะมาทำร้ายฆ่าเราเราจะกลัวไหม หรือคิดว่าชีวิตคนอื่นนั้นมีค่าน้อยกว่าเราเรามีค่ามากกว่าเรากินได้ไม่ผิด อะไร เรากลัวว่าถ้าเราไม่กินเราจะขาดสารอาหาร ช้างม้าวัวควายตัวเบ่อเริ่มมันกินอะไรกัน คิดถึงแต่จะเอาชีวิตคนอื่น มาเติมเป็นสารอาหารให้กับเรา แล้วชีวิตเราหล่ะ เราอยากเป็นสารอาหารให้กับชีวิตคนอื่นหรือเปล่าใช้ปัญญาคิดเอาเองบ้างซิครับ ทุกคนมีหมดแหละ พระองค์ทรงแนะแนวทางให้เรา ใช้ปัญญา ไม่สร้างกำแพงใดๆไม่มาแบ่งแยก คนกินได้ คนกินไม่ได้ คนไหนคิดได้ก็ไม่ต้องกิน คนไหนคิดไม่ได้ก็กินไป พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก ให้คิดเอาเอง ใช้ปัญญาเอาเอง ท่านฉลาดและทำถูกแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมีคนมาเถียงกันเรื่องนี้ไม่จบซักที คนที่เถียงกันทั้งสองฝ่ายนั่น ใช้ปัญญาหรือยัง เป็นบัวเหล่าใดหรือ พระพุทธเจ้าไม่เถียงทั้งสองฝ่าย ให้คิดเอาเอง คำว่า ควรเว้นเสียจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คำนี้จะเว้นก็ได้ไม่เว้นก็ได้แล้วแต่ท่านจะหาคำใดมาลบล้างกันท่านให้ใช้ปัญญาคิดเอาเอง คิดเอาเอง สิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนไม่ดีคนเราต้องคิดเป็น คนที่คิดไม่เป็น มีอยู่บัวเดียว ขนาดพุทธเจ้ายังกล่าวว่า ให้เป็นไปตามกรรมเถิด คนพวกนี้สอนไม่ได้ดอก คนไหนไม่กินเนื้อสัตว์ ผมขออนุโมทนาสาธุด้วย คนไหนกินเนื้อสัตว์ก็กินไปเถิด ผมมิได้ว่าอะไร ก็ขอให้มีความสุขเช่นกัน เราต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างคิดปัญญาใครปัญญามัน ดังพระท่านว่า นานาจิตตัง ครับผม ทำดีใจก็เป็นสุขแค่นั้นพอ !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แค่คิดว่าอยากเป็นคนดี ก็ใช้ได้แล้วเพื่อน

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น